ชัวร์แค่ไหน? เมื่อปล่อยให้ลูกเข้าร้านเกม
พ่อแม่และผู้ปกครองจำนวนมากที่วางใจให้ลูกเดินเข้าร้านเกม โดยไม่เคยรู้ว่า มีร้านเกมน้ำเสียจำนวนมากเป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กๆ เข้าสู่สังเวียนการเป็น “ นักพนันรุ่นใหญ่ ” ด้วยการเรียนรู้การเล่นพนันออนไลน์และอบายมุขในรูปแบบใหม่ๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านอินเทอร์เนตส่วนใหญ่ให้บริการสื่อความบันเทิงรูปแบบอื่นๆด้วย จากการสำรวจพบว่า ร้านอินเทอร์เนตที่เปิดให้บริการเกมส์ออนไลน์มีมากถึงร้อยละ 70.4 เกมคอมพิวเตอร์หรือเกมออฟไลน์ ร้อยละ 48.1 และให้บริการอื่นๆ เช่น เกมเพลย์สเตชั่น ร้อยละ 16.1 ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเด็กที่เข้าไปใช้บริการส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงมากกว่าการหาข้อมูลความรู้
ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มเป้าหมายของร้านประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน/นักศึกษาถึง ร้อยละ 84.1 รองลงมาคือ ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ/พนักงานลูกจ้างเอกชน
จะเกิดอะไรขึ้น…ถ้าอนาคตของสังคมกำลังวนเวียนอยู่กับเกม การพนัน และอบายมุขแบบออนไลน์
ร้านเกม “ หลุมหลบภัย ” ของวัยรุ่น
ในยุคที่ร้านเกมผุดขึ้นมากมายและหาง่ายกว่าร้านขายของชำ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ร้านค้าประเภทนี้จึงกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของกลุ่มเด็กและเยาวชนจำนวนมาก โดยมีร้านเกมจำนวนไม่น้อยที่กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะพฤติกรรมที่เลวร้ายทั้งยาเสพติดและการพนัน
ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ในปี 2553 ชี้ว่า ร้านเกมที่จดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) มีจำนวนทั้งสิ้น 42,853 ร้าน เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ มีมากถึง 7,375 แห่ง และต่างจังหวัด 35,478 แห่ง โดยปัญหาที่พบในร้านเกมมีทั้งปัญหาการทะเลาะวิวาท การพนัน การมั่วสุมเสพยาเสพติด จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้าน และการมั่วสุมทางเพศ
นอกจากนี้ ร้านค้าประเภทนี้ยังเป็นพื้นที่หลบภัยของเด็กหนีเรียน และได้ให้บริการแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี และ 18 ปี เข้าใช้บริการเกินช่วงเวลาที่กำหนดไว้
สร้าง “ ร้านเกมสีขาว” ลดพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชน
การดูแลสอดส่องการให้บริการร้านเกมเป็นหนึ่งในมาตรการที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดให้ร้านค้าประเภทนี้ต้องจดทะเบียนขอใบอนุญาตประกอบกิจการร้านเกม และมีข้อปฏิบัติตามกฎกระทรวงประกอบพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดีทัศน์พ.ศ.2551 คือ ต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในร้าน มีการจัดส่วนพื้นที่อย่างเหมาะสม ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การควบคุมไม่อนุญาตให้เยาวชนเล่นในช่วงเวลาที่กำหนด เป็นต้น โดยขอความร่วมมือจากร้านเกมทั่วประเทศให้ปฏิบัติตาม เพื่อร่วมกันสร้าง “ร้านเกมสีขาว” ให้แก่เด็กและเยาวชนไทย
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้ประกอบการร้านเกมกว่า ร้อยละ 98 ทั่วประเทศต่างขานรับนโยบายดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากแนวคิดการเปลี่ยนผู้ประกอบการร้านเกมไปสู่การเป็นผู้ประกอบการทางสังคม ( Social Enterprise ) ที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น เพื่อให้เยาวชนได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย
ประเด็นที่ผู้ประกอบการเสนอแนะเพิ่มเติมคือ ต้องการให้หน่วยงานรัฐเผยแพร่ข้อมูลด้านกฎหมายและอบรมสื่อด้านบวกให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันดูแลและควบคุมพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ของเยาวชนให้เหมาะสม และเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
ประเด็นเยาวชนไทยกับเกมและการพนันออนไลน์ รวมถึงการสำรวจร้านอินเทอร์เนตในประเด็นที่นำเสนอในข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยโครงการ การศึกษามาตรการและแนวทางดำเนินการสนับสนุน เพื่อพัฒนาร้านเกมสีขาวให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในสังคมสมัยใหม่ ภายใต้มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
เป้าหมาย คือ การเตรียมพัฒนาความร่วมมือระหว่างเจ้าของร้านเกมตัวอย่างและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายสู่ภาครัฐ ในการเปิดพื้นที่ให้เกิดร้านเกมสีขาวมากขึ้นทดแทนร้านเกมผีอันเป็นแหล่งบ่มเพาะพฤติกรรมเลวร้ายให้แก่เยาวชนไทย
เนื้อหาจาก นิตยสารต้นคิด ฉบับที่ 39 กันยายน พ.ศ.2554